- เจ้าของที่ดิน/เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง/เจ้าของห้องชุด (กรณีนี้อาจไม่ใช่เจ้าบ้านก็ได้ เพราะหากเจ้าบ้านไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มีชื่อในโฉนดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น เจ้าบ้านก็ไม่ใช่ผู้ที่ต้องเสียภาษี)
- ผู้ครอบครองทรัพย์สิน ทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของรัฐ เช่น ผู้เช่าที่ราชพัสดุอยู่ แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของที่นั้น ๆ แต่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายฉบับนี้
- เป็นผู้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่ในวันที่ 1 มกราคมของปีภาษีนั้น เช่น
- ซื้อคอนโดมิเนียม ในวันที่ 25 ธันวาคม 2565 จะต้องเสียภาษีที่ดินในปี 2566 เพราะถือว่าได้ครอบครองภายในวันที่ 1 มกราคม 2566
- ซื้อบ้าน ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 จะยังไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน 2566 เพราะยังไม่ได้ครอบครองในวันที่ 1 มกราคม 2566 แต่ต้องไปเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2567
- กรณีเจ้าของที่ดินและเจ้าของสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้นเป็นคนละคนกัน ให้ต่างคนต่างเสียภาษีเฉพาะส่วนที่ตัวเองเป็นเจ้าของ
1. ที่ดินเกษตรกรรม เพดานภาษีสูงสุด 0.15%
- ปลูกกล้วย ขั้นต่ำ 200 ต้น/ไร่
- ปลูกกาแฟ พันธุ์โรบัสต้า ขั้นต่ำ 170 ต้น/ไร่, พันธุ์อาราบิก้า ขั้นต่ำ 533 ต้น/ไร่
- ปลูกขนุน ขั้นต่ำ 25 ต้น/ไร่
- ปลูกมะม่วง, มะพร้าว, ทุเรียน, ลิ้นจี่, ลำไย ขั้นต่ำ 20 ต้น/ไร่
- ปลูกมะนาว ขั้นต่ำ 50 ต้น/ไร่
อ่านหลักเกณฑ์และรายละเอียดของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร ได้ ที่นี่
อัตราภาษีที่ดินเกษตรกรรมปี 2566
- กรณีเจ้าของที่ดินเป็นบุคคลธรรมดา :
• หากมีที่ดินทำการเกษตร มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
• หากมีที่ดินทำการเกษตร มูลค่าเกิน 50 ล้าน จะได้รับยกเว้น 50 ล้านบาทแรก/เขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่วนเกิน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษีตามอัตราปกติ
- กรณีเจ้าของที่ดินเป็นนิติบุคคล : เสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ คือ
- นาย B เป็นเจ้าของสวนผลไม้ มูลค่า 15 ล้านบาท จะไม่ต้องเสียภาษีที่ดินในปี 2566 เพราะได้รับการยกเว้น 50 ล้านบาทแรก/อปท.
- นาย C เป็นเจ้าของที่ดินเกษตรกรรม มูลค่า 60 ล้านบาท ดังนั้น 50 ล้านบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนอีก 10 ล้านบาท จะต้องเสียภาษี 0.01% เท่ากับต้องจ่าย 1,000 บาท
- บริษัท A เป็นเจ้าของที่ดินเกษตรกรรม มูลค่า 20 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีที่ดินอัตรา 0.01% คือ 2,000 บาท
2. ที่พักอาศัย เพดานภาษีสูงสุด 0.30%
คำว่า “ที่พักอาศัย” ตามกฎหมายฉบับนี้ หมายถึงกรณีดังต่อไปนี้
- ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง ให้ญาติพี่น้องอยู่อาศัย หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย
- ครอบคลุมถึงช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง หรือปรับปรุงต่อเติมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัยด้วย เช่น บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการตกแต่ง เป็นต้น
- บ้านเช่า หอพัก อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโดที่ปล่อยเช่ารายเดือน (แต่ถ้าเป็นบ้านหรือห้องพักให้เช่าเป็นรายวัน จะจัดอยู่ในหมวดใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น ๆ ซึ่งเสียภาษีแพงกว่า)
- โฮมสเตย์ ซึ่งเป็นสถานที่พักชั่วคราวที่เจ้าของดัดแปลงเป็นห้องพักไม่เกิน 4 ห้อง มีผู้พักรวมกันไม่เกิน 20 คน จัดบริการสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร และเป็นการพักรวมกับเจ้าของในชายคาเดียวกัน อันมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการเพื่อหารายได้เสริม
โดยการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยจะแบ่งเป็น 3 กรณี คือ
2.1 บ้านหลังหลัก (บุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน)
ตัวอย่าง
- มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 3 ล้านบาท : ไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน
- มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 20 ล้านบาท : ไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน
- มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 50 ล้านบาท : ไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน
- มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 60 ล้านบาท : ทรัพย์สินส่วน 50 ล้านบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนที่เหลืออีก 10 ล้านบาท นำมาคำนวณภาษี 0.03% เท่ากับต้องเสียภาษี 3,000 บาท
- มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 90 ล้านบาท : ทรัพย์สินส่วน 50 ล้านบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี ส่วน 25 ล้านบาทต่อมา นำมาคำนวณภาษี 0.03% เท่ากับ 7,500 บาท และส่วน 20 ล้านบาทสุดท้าย คิดอัตรา 0.05% เท่ากับ 10,000 บาท รวมเสียภาษี 17,500 บาท
2.2 บ้านหลังหลัก (บุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน)
ประเภทที่สอง คือ เป็นบ้านหลังหลักที่เรามีชื่อในทะเบียนบ้านในวันที่ 1 มกราคม 2565 แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน เช่น ซื้อคอนโดมิเนียม หรือคนที่สร้างบ้านอยู่บนที่ดินเช่า กรณีนี้จะได้รับการยกเว้นภาษี 10 ล้านบาทแรก ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีที่ดินตามอัตรานี้
- มีคอนโดมิเนียม มูลค่า 5 ล้านบาท และมีชื่อในทะเบียนบ้าน : ไม่ต้องเสียภาษี
- มีบ้านบนที่ดินเช่า มูลค่า 30 ล้านบาท และมีชื่อในทะเบียนบ้าน : 10 ล้านบาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนที่เหลือ 20 ล้านบาท จะนำมาคิดภาษีที่ 0.02% เท่ากับต้องเสียภาษี 4,000 บาท
2.3 บ้านหลังอื่น ๆ เช่น บ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป หรือบ้านที่ไม่มีชื่อเราอยู่ในทะเบียนบ้าน
ส่วนคนที่มีบ้านหลายหลัง ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าจะมีชื่อหรือไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน การเป็นเจ้าของที่ดินหรือบ้านตั้งแต่หลังที่ 2 เป็นต้นไป จะต้องเสียภาษีทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้น ดังนี้
- มีบ้านหลังที่ 2 มูลค่า 5 ล้านบาท : เสียภาษี 0.02% คือ 1,000 บาท
- มีบ้านหลังที่ 3 มูลค่า 60 ล้านบาท : ส่วน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษี 0.02% คือ 10,000 บาท ที่เหลืออีก 10 ล้านบาท เสียภาษี 0.03% เท่ากับ 3,000 บาท รวมแล้วต้องเสียภาษี 13,000 บาท
- มีบ้านหลังที่ 2 มูลค่า 90 ล้านบาท : ส่วน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษี 0.02% คือ 10,000 บาท ส่วน 25 ล้านบาทถัดมา เสียภาษี 0.03% คือ 7,500 บาท และที่เหลืออีก 20 ล้านบาท คิดอัตรา 0.05% คือ 10,000 บาท รวมเสียภาษีทั้งหมด 27,500 บาท
หมายเหตุ : หากเป็นทรัพย์สินที่ได้รับมรดกมาจะได้ลดภาษีอีก 50%
หมายถึง เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาได้รับมรดกเป็นบ้านพร้อมที่ดิน หรือห้องชุด โดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย หากจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2562 จะได้ลดภาษีที่ดิน 50% ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย
เช่น นางสาว A ได้รับมรดกที่ดินพร้อมบ้าน มูลค่า 60 ล้านบาท โดยเป็นบ้านหลังหลัก มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 กรณีนี้จะได้รับยกเว้นภาษี 50 ล้านบาทแรก ส่วนเกินอีก 10 ล้านบาท จะเสียภาษี 0.03% คิดเป็น 3,000 บาท แต่ได้ลดภาษี 50% เหลือจ่ายภาษีเพียง 1,500 บาท
3. ที่ดินใช้ประโยชน์อื่น นอกจากเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย เพดานภาษีสูงสุด 1.20%
ตัวอย่าง
- มีร้านค้า มูลค่า 5 ล้านบาท : เสียภาษี 0.3% หรือ 15,000 บาท
- มีร้านอาหาร มูลค่า 20 ล้านบาท : เสียภาษี 0.3% หรือ 60,000 บาท
4. ที่รกร้างว่างเปล่า เพดานสูงสุด 3%
นอกจากนี้ หากเจ้าของที่ดินปล่อยรกร้างไว้นานติดต่อกัน 3 ปี เมื่อไปเสียภาษีในปีที่ 4 จะถูกเก็บเพิ่มอีก 0.3% และจะเพิ่มอัตราภาษีอีก 0.3% ในทุก ๆ 3 ปีที่ปล่อยที่ดินทิ้งไว้โดยไม่นำมาทำประโยชน์อะไร แต่โดยรวมทั้งหมดแล้วจะเก็บภาษีได้ไม่เกิน 3% ซึ่งเป็นเพดานสูงสุด
เท่ากับว่าในปี 2566 จะเป็นปีที่ครบกำหนด 3 ปีพอดีนับตั้งแต่ประกาศใช้กฎหมายภาษีที่ดินปี 2563 นั่นหมายความว่า ถ้าเจ้าของที่ดินปล่อยที่ดินไว้เฉย ๆ มาตั้งแต่ปี 2563 เมื่อมาถึงปี 2566 จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 0.3%
ตัวอย่าง
- มีที่ดินรกร้าง มูลค่า 10 ล้านบาท : เสียภาษี 0.3% หรือ 30,000 บาท แต่ถ้าที่ดินผืนนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้จนครบ 3 ปีแล้ว ในปี 2566 จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% คือจ่ายเพิ่มอีก 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท
- มีที่ดินรกร้าง มูลค่า 60 ล้านบาท : ส่วน 50 ล้านบาทแรก เสียภาษี 0.3% หรือ 150,000 บาท ที่เหลืออีก 10 ล้านบาท เสียภาษี 0.4% คือ 40,000 บาท รวมทั้งหมดต้องจ่าย 190,000 บาท แต่ถ้าที่ดินผืนนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้จนครบ 3 ปีแล้ว ในปี 2566 จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% จาก 60 ล้านบาท คิดเป็น 180,000 บาท รวมแล้วต้องเสียภาษี 370,000 บาท
1. ที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี
โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ที่ดิน
2. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ภาษีที่ต้องจ่าย = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี
โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ที่ดิน
มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา
3. ห้องชุด
ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี
โดยมูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2566 ผู้ครอบครองที่ดินอาจต้องเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น เนื่องจากกรมธนารักษ์ประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่รอบปี 2566-2569 ในวันที่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งทำให้ราคาประเมินทั้งประเทศปรับขึ้นเฉลี่ย 8% ขณะที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร ปรับขึ้นประมาณ 3% โดยพื้นที่ใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า อย่างถนนสีลม ถนนวิทยุ ถนนเพลินจิต มีราคาแพงที่สุดคือ ตารางวาละ 1 ล้านบาท
- ตรวจสอบราคาประเมินทุนทรัพย์ได้จากเว็บไซต์ กรมธนารักษ์
- ชั้นแรกที่เป็นร้านขายของ : คำนวณตามอัตราภาษีที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม
- ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย : คำนวณตามอัตราภาษีที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย
มีช่องทางไหนบ้าง
กรณีที่เราไม่แน่ใจว่าอสังหาริมทรัพย์ของเราเข้าเกณฑ์เสียภาษีที่ดินหรือไม่ สามารถตรวจสอบข้อมูลบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ดังนี้
- หนังสือแจ้งการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหน่วยงานจะส่งข้อมูลให้ผู้เสียภาษีได้ทราบทางไปรษณีย์
- สำนักงานเขต สำนักงานเทศบาล อบต. หรือ อปท. ที่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่
ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจสอบภาษีที่ดินทางออนไลน์ได้
ตามกฎหมายได้กำหนดระยะเวลาเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้
- ประกาศราคาประเมินที่ดิน : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/สำนักงานเขต ออกหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน/บ้าน ให้ผู้เสียภาษีทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
- แจ้งการประเมินภาษีให้ผู้เสียภาษีทราบ : ภายในเดือนเมษายน 2566 เมื่อได้รับหนังสือแจ้งให้ตรวจสอบอัตราภาษี ประเภทของภาษีที่จัดเก็บให้เรียบร้อย กรณีที่พบว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง เช่น ประเมินบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัย เป็นการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้เสียภาษีมากขึ้น หรือมีข้อมูลผิดพลาดตรงไหน เราสามารถใช้สิทธิ์คัดค้านการประเมินภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ภ.ด.ส.6
- ชำระภาษี : ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 แต่หากต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเกิน 3,000 บาท เราสามารถใช้สิทธิ์ขอผ่อนชำระภาษีได้ 3 งวดเท่า ๆ กัน โดยไม่เสียดอกเบี้ย คือต้องจ่ายงวดที่ 1 ภายในเดือนมิถุนายน งวดที่ 2 เดือนกรกฎาคม และงวดที่ 3 เดือนสิงหาคม
- อปท. มีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ : ภายในเดือนกรกฎาคม 2566
อย่างไรก็ตาม ในบางปี หรือบาง อปท. อาจมีการประกาศเลื่อนหรือขยายระยะเวลาจ่ายภาษีออกไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งต้องรอติดตามประกาศของ อปท. แต่ละแห่งอีกครั้ง
หากบ้านไหนได้รับหนังสือแจ้งการครอบครองที่ดิน/บ้าน และพบข้อมูลไม่ถูกต้อง สามารถยื่นเรื่องคัดค้านได้ภายใน 30 วัน ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. นำเอกสารไปยื่นที่หน่วยงานจัดเก็บภาษีที่ออกแบบแจ้งประเมิน และแสดงความจำนงขอคัดค้านการประเมิน เช่น หากอยู่ใน กทม. ก็ให้ไปติดต่อสำนักงานเขตที่สิ่งปลูกสร้างนั้นตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านช่องทางอื่น ๆ ตามที่ อปท. นั้นกำหนด
2. กรอกคำร้องคัดค้านการประเมินหรือเรียกเก็บภาษีที่ดินฯ พร้อมแนบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
ถ้าไม่คัดค้านการประเมินภายในกำหนดเวลา จะถือว่ายอมรับการประเมินของเจ้าพนักงาน และต้องเสียภาษีที่ดินตามประเภทของการใช้งานที่ระบุไว้ต่อไป
- กรุงเทพฯ : ชำระภาษีที่สำนักงานเขตในพื้นที่ที่ทรัพย์สินตั้งอยู่
- เมืองพัทยา : ชำระภาษีที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
- ต่างจังหวัด : ชำระภาษีที่สำนักงานเทศบาล/ที่ทำการขององค์การบริหารส่วนตำบล/ที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีกฎหมายกำหนด หรือสถานที่อื่นที่ผู้บริหารท้องถิ่นกำหนด รวมทั้งจุดบริการเคลื่อนที่ที่ อปท. กำหนด
จ่ายด้วยวิธีไหนบ้าง
- ชำระผ่านเคาน์เตอร์ของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ
- ชำระผ่านเครื่อง ATM ธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ
- ชำระผ่าน Mobile Banking และ Internet Banking
- ชำระผ่านบัตรกรุงไทยวีซ่าเดบิต หรือบัตรเครดิตของสถาบันการเงินทุกแห่ง
- ชำระเงินข้ามธนาคารด้วยบาร์โค้ด หรือสแกน QR CODE ผ่าน Mobile Banking ทุกธนาคาร
- ชำระผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เช่น ธนาณัติ ตั๋วแลกเงิน เช็ค
สำหรับคนที่จ่ายภาษีที่ดินเกินระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเสียภาษีค้างชำระ รวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ดังนี้
1. หากไม่มาชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด แต่ต่อมาได้มาชำระภาษีก่อนจะได้รับหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 10 ของจำนวนภาษีค้างชำระ
2. หากมาชำระภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของจำนวนภาษีค้างชำระ
3. หากมาชำระภาษีภายหลังจากที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 40 ของจำนวนภาษีค้างชำระ
4. หากไม่ได้ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนของจำนวนภาษีค้างชำระ เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน
5. กรณีที่ผู้บริหารท้องถิ่นให้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษี และได้ชำระภายในกำหนดเวลาที่ขยายให้นั้น ให้คิดเงินเพิ่มลดลงเหลือร้อยละ 0.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน
6. เบี้ยปรับอาจงดได้ในกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย โดยเราจะต้องยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อของดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชำระ